ท่ามกลาง กระแสปลุกการเรียนรู้ใหม่ด้านภัยพิบัติในสังคมไทย หลังเหตุแผ่นดินไหวเมื่อ 28 มีนาคม 2568 นอกจากจะมีคำถามว่า เราจะให้เด็กๆ เรียนภัยพิบัติอะไร และจะเรียนอย่างไรให้สามารถรับมือและเอาตัวรอดได้จริง ที่เคยนำเสนอไปแล้วในตอนแรก
อ่านตอนที่ 1 : เพิ่มหลักสูตรภัยพิบัติ ระวัง “กับดัก” เรียนแค่ภัยใกล้ตัว คลิกเลย!
ยังมีคำถามที่น่าสนใจว่า ถ้าคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติซ้ำๆ และเป็นพื้นที่มีความยากจนติดอันดับต้นๆ ของประเทศ พวกเขาจะทำอย่างไร ?
ศูนย์สื่อสาธารณะเพื่อเด็กและการเรียนรู้ ไทยพีบีเอส ชวนทุกท่านมาร่วมหาคำตอบนี้ผ่าน มุมมองของภาคเอกชนใน “แม่ฮ่องสอน” จังหวัดชายแดนติดกับประเทศเมียนมา
“แม่ฮ่องสอน” เมืองสามหมอก เป็นหนึ่งในหมุดหมายการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ
ปี 2567 ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า มีนักท่องเที่ยวไปเยือนจังหวัดแม่ฮ่องสอนกว่า 1,265,000 คน ร้อยละ 80 หรือราวๆ 1 ล้านคน เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย ขณะที่ ชาวต่างชาติ อยู่ที่ร้อยละ 20
สภาพภูมิประเทศ ที่เป็นหุบเขาเล็กๆ แทรกตัวอยู่ในทิวเขาสลับซับซ้อนของเทือกเขาถนนธงชัย มีป่าไม้สมบูรณ์ น้ำตก แม่น้ำสายเล็กๆ จนถึงสายใหญ่ อย่างแม่น้ำสาละวิน และวัฒนธรรมหลากหลายชาติพันธุ์ เป็นจุดขายในตลาดท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้หลักของจังหวัด
แต่หลายปีมานี้ นักธุรกิจด้านการท่องเที่ยว เริ่มเห็นปรากฏการณ์ ฤดูท่องเที่ยวแม่ฮ่องสอนเริ่มเปลี่ยน ระยะเวลาหดแคบลงเรื่อย ๆ
“แม่ฮ่องสอน” มีพื้นที่กว่า 8 ล้านไร่ ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของภาคเหนือ ในจำนวนนี้กว่า 6.8 ล้านไร่ หรือราวร้อยละ 85 ของพื้นที่มีสภาพเป็นป่า ที่เหลือกว่า 4 แสน 6 หมื่นไร่ หรือ ร้อยละ 5.7 เป็นพื้นที่เกษตรกรรมในเขตหุบเขาและบนภูเขา สภาพดินไม่ได้สมบูรณ์มากนัก และส่วนใหญ่เป็นพืชไร่ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ปี 2567 สำนักงานสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. รายงานว่า จ.แม่ฮ่องสอน มีรายได้ต่อหัวของประชากร หรือ GRP per capita อยู่ที่อันดับ 76 ของประเทศ โดยมูลค่า 64,665 บาทต่อปีต่ำกว่ารายได้เฉลี่ยต่อคนของทั้งประเทศที่ 248,789 บาท เกือบ 4 เท่า มีหนี้สินครัวเรือนสูงกว่า 1.7 แสนบาท ต่อครัวเรือน
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ให้ความสำคัญกับการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกำหนดตัวชี้วัดจังหวัดแม่ฮ่องสอน เช่น ให้ลดจุดความร้อน (Hotspot) ลงร้อยละ 20 ต่อปี หรือลดลง 2,250 จุดต่อปี และร้อยละของพื้นที่เผาไหม้ ลดลงร้อยละ 20 ต่อปี โดยเปรียบเทียบกับพื้นที่เผาไหม้ของจังหวัดที่เกิดขึ้นทั้งหมดในปีงบประมาณนั้น ส่วน ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก(PM 2.5) ให้ลดจำนวนวันที่เกินมาตรฐานลง ร้อยละ 10 หรือต้องลดลง 5 วันต่อปี
อ่านเพิ่มเติม : แผนพัฒนาสถิติระดับจังหวัด (พ.ศ.2568-2570) ฉบับทบทวนปีงบประมาณ พ.ศ.2568 คลิกเลย!
กว่า 20 ปี ที่เมืองสามหมอก ชายแดนติดกับประเทศเมียนมา จมอยู่กับหมอกควันในฤดูร้อนอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าจะเบาบางลง หมอกควันหนาทึบทำให้ทัศนวิสัยการบินเลวร้าย จนสายการบินต้องประกาศยกเลิกการบินบางช่วง นักท่องเที่ยวไทยที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก และตื่นตัวกับปัญหามลพิษทางอากาศ เปลี่ยนเป้าหมายในการเดินทาง หมอกควัน PM 10 และ PM 2.5 กลายเป็นภัยคุกคามเศรษฐกิจ พร้อมไปกับการเพิ่มความเสี่ยงด้านสุขภาพของคนในพื้นที่ ขณะที่ ช่วงหน้าฝน กลางเดือนพฤษภาคม – ตุลาคม ก็จะเกิดปัญหาดินสไลด์ น้ำป่าโคลนถล่ม บางครั้งพัดหมู่บ้านพัง เสาไฟฟ้าหักโค่น ไฟฟ้าดับ โครงข่ายอินเตอร์เน็ตล่ม
นี่คือ ภัยพิบัติที่ “ชนเขต บุญญขันธ์” หรือ ปอย ประธานอาวุโสหอการค้าจังหวัดแม่ฮ่องสอน กำลังกังวลอย่างมาก เพราะสร้างความเสียหายให้ประชาชนในพื้นที่อย่างรุนแรงและกำลังซ้ำเติมเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนอย่างแม่ฮ่องสอน ที่อยู่บนฐานของการท่องเที่ยว
“ถ้าถามว่า จะแก้ปัญหาภัยพิบัติต้องเริ่มตรงไหน” ชนเขต ตอบคำถามนี้ด้วยการชวนไปทบทวนปรากฏการณ์ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา พบเส้นทางของแม่น้ำในแม่ฮ่องสอนหลายเส้นเปลี่ยน ต้นไม้ไม่ยึดเกาะหน้าดิน เข้าฤดูฝนก็มักเกิดปัญหาดินโคลนถล่ม น้ำป่าไหลหลากที่รุนแรงมากขึ้น
ขณะที่ แผ่นดินไหว แม้ปรากฏข้อมูลการเกิดอยู่บ่อยครั้งในอำเภอปางมะผ้า แต่ก็เป็นแผ่นดินไหวขนาดเล็ก ที่ผ่านมาแรงสั่นสะเทือนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนแม่ฮ่องสอน ทว่าหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในเมียนมา วันที่ 28 มีนาคม 2568 ก็มีความจำเป็นที่รัฐจะต้องติดตามความเปลี่ยนแปลง และเร่งสร้างความตระหนักรู้ให้คนในพื้นที่ เมื่อเกิดเหตุจะต้องทำอย่างไร ?
“เศรษฐกิจกับสิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติ” เป็นเรื่องที่หนีกันไม่ขาด เช่น หมอกควันจากไฟป่าเวียนมาทุกปี หนักมากๆ ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน แต่กลไกการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาวของบ้านเรา เมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่เธอได้ไปศึกษาเรียนรู้มา เช่น ออสเตรเลีย มีความต่างกัน ที่นั่น มีการศึกษาและกลไกในการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง
“ในที่ประชุมระดับจังหวัด ก็มักมองว่า ต้องหาพืชเศรษฐกิจทดแทน จะได้ไม่ต้องเผาป่าหาเห็ดถอบ ก็มีข้อเสนอ เช่น ปลูกทุเรียน ปลูกไผ่ เพราะมีความต้องการ แต่ส่วนตัว มีคำถามว่า พืชเหล่านี้ต้องใช้เวลา ไม่ต่ำกว่า 4 ปี กว่าจะตัดขายได้ แล้วช่วง 4 ปีแรก ชาวบ้านจะกินอะไร จะเอาเงินที่ไหนมาใช้ บางคนเผาเพื่อเก็บเห็ดถอบ ก็มีเงินพอใช้ไปเกือบทั้งปี”
ที่สำคัญ คือ รัฐต้องเข้าใจมุมมองชาวบ้านส่วนใหญ่ที่มองว่า ภัยพิบัติ ไม่ทำให้ตายได้เท่ากับ ความยากจนที่พวกเขาเผชิญอยู่
มีความเชื่อว่า เป็นเพราะบ้านเราไม่ค่อยเกิดภัยพิบัติ คนไทยและรัฐเลยไม่ตระหนักถึง ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ในมุมมองของ ชนเขต ไม่ได้เชื่อเช่นนั้น เธอยกตัวอย่าง ฝุ่น PM 2.5 ถือว่า เป็นมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นทุกปี และก็เห็นความสูญเสียทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ แต่ทำไม ถึงแก้ปัญหาไม่ได้
“เหตุแผ่นดินไหวคราวนี้ จะทำให้เปลี่ยนได้หรือไม่?”
ชนเขต มองว่า การที่นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงต่างๆ ดำเนินการเพื่อรับมือกับเหตุแผ่นดินไหว และภัยธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ เป็นเรื่องที่ดี เพียงต้องดูบริบทของแต่ละพื้นที่ ถ้าดูเฉพาะในภาคการศึกษา จะทำให้เด็กรับมือกับปัญหาภัยพิบัติได้จริงๆ แค่เพิ่ม “หลักสูตร” ให้ความรู้และทักษะกับเด็กๆ ในโรงเรียนคงไม่พอที่จะทำให้เด็กๆ ลุกขึ้นมาเป็นผู้เปลี่ยนแปลงครอบครัวหรือชุมชนที่มีคนหลากหลาย ทั้งทางด้านวัฒนธรรมและฐานะทางเศรษฐกิจ ได้ เพราะปัญหามีความซับซ้อน
“ยกตัวอย่าง กรณีฝุ่น PM 2.5 ถ้าเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีฐานะดีหรือปานกลาง มาตรการต่างๆ ที่ให้เด็กเรียนรู้แล้วไปสร้างความเปลี่ยนแปลงกับครอบครัวอาจไม่ยาก เพราะเศรษฐกิจของครอบครัวไม่ได้พึ่งพาการเกษตรมาก แต่ถ้าเด็กมาจากครอบครัวเกษตรกรที่ยากจน สุดท้าย เมื่อเด็กกลับมาที่บ้านก็ต้องมาช่วยพ่อแม่ทำเกษตรที่จำเป็นต้องใช้ไฟอยู่ดี”
“ถ้ามาแม่ฮ่องสอนตอนนี้ นักท่องเที่ยวอาจจะไม่เจอร้านอาหารร้านอร่อยๆ เป็นที่รู้กันดีว่า ร้านอาหาร หรือ การจ้างงานในภาคบริการท่องเที่ยวเปลี่ยนไปแล้ว จากเดิมเคยเปิดทำการทั้งปี ตอนนี้เปิดทำการแค่ 4 เดือน แล้วก็ปิด จะมาเปิดอีกทีปลายฝนต้นหนาว หยุดจ้างคนชั่วคราว เพื่อเก็บเงินไว้ เลี้ยงปากเลี้ยงท้องกันอีก 8 เดือนที่เหลือของปี ชีวิตมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”
ประธานอาวุโสหอการค้าจังหวัดแม่ฮ่องสอน ย้ำว่า แค่โรงเรียนมี “หลักสูตรภัยพิบัติ” อย่างเดียวคงไม่พอ แต่ต้องทำให้ “หลักสูตรภัยพิบัติ” เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาปากท้อง และต้องทำให้เห็นว่า ถ้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจในครัวเรือนของเด็กๆ ได้ก็จะช่วยเสริมการเรียนรู้ด้านต่างๆ รวมถึงการเรียนรู้ด้านภัยพิบัติ ให้ดีขึ้นได้
ทุกวันนี้ ภัยพิบัติมีความซับซ้อน มีภัยข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน หลักสูตรภัยพิบัติที่จะทำใหม่ก็ต้องทำให้เด็กเรียนรู้ปัญหานี้และทำให้เด็ก ครอบครัว ชุมชน เห็นว่า ปัญหาภัยพิบัติเกี่ยวข้องกับปากท้อง อย่างไร ? ถ้าปากท้องดี ก็จะรวบรวมความคิดของคนที่มีความหลากหลายอาชีพ ให้มองเป้าหมายเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่อง “ภัยพิบัติ” ได้ไม่ยาก
ติดตามต่อ ตอนที่ 3 "การเรียนรู้เพื่อภูมิศาสตร์ เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ"
บทความโดย พรวดี ลาทนาดี ศูนย์สื่อสาธารณะเพื่อเด็กและการเรียนรู้ ไทยพีบีเอส