ไม่ว่า จะมองจากมุมไหน การนำ “ภูเขาไฟ” มาเป็นจุดเริ่มต้นในการบุกเบิกแนวทางในการจัดการเรียนรู้และสื่อสารหลักสูตร “ภัยพิบัติศึกษา” ในโรงเรียนไทย ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกและกรอบความปลอดภัยรอบด้านในโรงเรียน 2565-2573 (Comprehensive Safe School Framework -CSSF-2022-2030) เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
ภาพพิมพ์หินของการปะทุของภูเขาไฟกรากาตัว ค.ส.1883 วาดในปี ค.ศ.1888 ที่มา : วิกิพีเดีย
ภูเขาไฟ-เป็นเรื่องไกลตัวเด็ก ไกลตัวคุณครู และประเทศไทยไม่มีทางเจอภัยพิบัติจากภูเขาไฟปะทุเด็ดขาด
ถ้าจะบอกว่า อนาคตนักเรียนอาจไปเที่ยวหรือย้ายถิ่นไปทำงานต่างแดน แต่ทั่วทั้งโลกจะมีสักกี่ประเทศต้องเผชิญกับภัยจากภูเขาไฟ แล้ว โครงการภัยพิบัติศึกษาในโรงเรียน ทำไม เลือกภูเขาไฟ ? เลือก “กรากาตัว” ประเทศอินโดนีเซีย ? มาเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้
ด้านหนึ่ง-มาจากการสำรวจโลกออนไลน์ ด้วยคำค้นกรากาตัวสำหรับนักเรียน -Krakatoa for students พบข้อมูลกว่า 4.3 ล้านชุด เปิดเข้าไปดูหลายๆ เว็บไซต์ พบคุณครูหลายประเทศใช้ “ภูเขาไฟกรากาตัว” มาจัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างความรู้ และพัฒนาทักษะให้เด็กเล็ก จนถึง เยาวชน อย่างเต็มที่
ด้านหนึ่ง-มาจากการทบทวนบทเรียนการขับเคลื่อน “หลักสูตรลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ” ในประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ช่วงทศวรรษที่ 2010 ที่พบข้อเด่น-ข้อด้อยของแนวทางการพัฒนาหลักสูตรต่างๆ ในยุคก่อน กับ การผลักดัน โครงการภัยพิบัติศึกษาในโรงเรียน ปัจจุบัน ว่า เข้าข่าย “โครงการนำร่อง” ที่มีความเสี่ยงจะเกิดภาวะชะงักงันหรือยุติได้ทันที หากงบประมาณโครงการสิ้นสุด และอาจไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยน “หลักสูตร” หลักในระบบการศึกษาแต่อย่างไร
ทว่าแนวทางนี้ก็มีข้อได้เปรียบในแง่ของการทำให้คุณครูและผู้เกี่ยวข้องมีความกระตือรือร้น มีความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ บางกรณี ก็อาจขยายผลจากโครงการนำร่องได้ ถ้ามีการสนับสนุนจากภาครัฐ
การมีส่วนร่วม คือ สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ
นี่จึงเป็นที่มาของการใช้กระบวนการออกแบบ “หลักสูตร” แบบมีส่วนร่วม โดยไทยพีบีเอส ร่วมกับสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น ชวนคุณครู และผู้บริหารโรงเรียนแกนนำใน 3 จังหวัด คือ เชียงราย ขอนแก่น สงขลา ช่วยกันคิด ค้นคว้า พูดคุย และยกร่างแผนจัดการเรียนรู้ด้วยกรณีศึกษา (Case-based Learning) “ภูเขาไฟกรากาตัว” ประเทศอินโดนีเซีย พบว่า มีความเป็นไปได้ ในการทำให้กรณีศึกษานี้กลายเป็น “เครื่องมือ” ในการนำทางผู้เรียนเข้าสู่การฝึกฝนทักษะ ทั้งการฟัง-อ่าน-เขียน-คิด-วิเคราะห์ ที่เชื่อมโยงกับวิชาและศาสตร์หลายศาสตร์
อีกทั้งยังให้ผู้เรียนจินตนาการไปกับ บทบาทสมมติ ในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จากนั้น ก็มีการทดลองสอน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ผ่านออนไลน์ รวมถึง ในกิจกรรม “ห้องเรียนสู้ฝุ่นXภัยพิบัติศึกษา” เมื่อวันที่ 15-17 ธันวาคม 2566 ที่จัดขึ้นที่ไทยพีบีเอส
แล้วอิทธิฤทธิ์ของ การจัดการเรียนรู้ด้วยกรณีศึกษา (Case-based Learning) เป็นอย่างไร ? ส่งผลต่อการรับรู้ และเพิ่มเติมทักษะด้านต่างๆ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาของเรา อย่างไร ?
ต้องเปิดชม และลองนำไปใช้ในห้องเรียนสักครั้ง...
หน่วยเรียนรู้ประถมศึกษา ซีรีส์ภูเขาไฟกรากาตัว .pdf
ลิ้งค์คลิกที่นี้