ช่วงกลางคืนของวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา มีเที่ยวบินหนึ่งถูกจับตาจากผู้คนทั่วโลก เครื่องบินโดยสารของกองทัพสหรัฐอเมริกา นำแนนซี เพโลซีมาถึงปลายทาง ณ สนามบินไทเปซงซานอย่างปลอดภัย เมื่อ 22:44 น. ตามเวลาท้องถิ่นไต้หวัน
เหตุใดการไปเยือนต่างประเทศของนักการเมืองคนหนึ่งจึงเป็นที่สนใจมากระดับที่สื่อหลักนานาชาติล้วนไม่พลาดที่จะนำไปรายงานเป็นข่าว และเหตุใดภารกิจการพบปะเพียงนัดเดียวครั้งนี้ถึงมีอิทธิพลมากจนประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนต้องออกมาแสดงปฏิกิริยาด้วยการปฏิบัติทางการทหาร?
จากการติดตามข่าวรายงานว่าแนนซี เพโลซีเป็นนักการเมืองสังกัดพรรคเดโมแครตผู้ทำหน้าที่สมาชิกรัฐสภามายาวนานเกือบสิบปี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของอเมริกา เธอมีบทบาทเกี่ยวกับการเมืองและสังคมระดับโลกมาแล้วหลายด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียมทางเพศ การต่อต้านการทำสงครามกับอิรักของสหรัฐ และแน่นอนว่าเธอมีความคิดเห็นที่ต่อต้านความเป็นเผด็จการทางการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างชัดเจน
การเดินทางไปพบประธานาธิบดีไช่ อิงเหวินถึงไทเปจึงเป็นการย้ำจุดยืนที่ไม่สนับสนุนวิธีการทำงานของรัฐบาลจีนอีกครั้ง
ในการเยือนไต้หวันครั้งนี้แนนซี พาโลซียืนยันที่จะสนับสนุนหนทางแห่งประชาธิปไตยที่กำลังก่อร่างอย่างแข็งแรง และกล่าวว่าอเมริกาจะไม่ทอดทิ้งไต้หวัน แม้ว่าความเห็นของรัฐบาลฝั่งอเมริกาจะไม่ได้เป็นไปในทางเดียวกันกับเธอ โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนระบุว่ากองทัพสหรัฐมองว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่ดี และชี้ว่าอาจถูกจีนตีความว่าเป็นการยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งขึ้นได้
ทำไมการไปไต้หวันครั้งนี้ดูจะเป็นเรื่องใหญ่? ความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวันที่ว่ามันคืออะไร? แล้วอเมริกาไปเกี่ยวข้องอะไรด้วย?
หลังจากพยายามอ่านข่าวบวกกับความรู้เท่าหางอึ่งของเราสรุปออกมาได้ว่า ประเทศเสรีอย่างอเมริกาไม่ถูกกันกับความเป็นคอมมิวนิสต์ของจีน และจีนต้องการควบรวมไต้หวันให้อยู่ภายใต้การปกครองจากรัฐบาลเดียวกันตามนโยบาย “จีนเดียว” ในขณะที่รัฐบาลไต้หวันที่นำโดยพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP – Democratic Progressive Party) ขึ้นมาได้รับความนิยมได้ด้วยนโยบายมุ่งส่งเสริมประชาธิปไตยในไต้หวันเพื่อการปกครองตนเองที่มั่นคง
โอเคเข้าใจว่า เผด็จการกับโลกเสรีเค้าไปด้วยกันไม่ได้ แต่ที่มาที่ไปนอกเหนือจากนี้ไม่รู้จะจับต้นชนปลายยังไงถูกเลยค่ะ
.............
‘เราไม่สามารถทำความเข้าใจเรื่องใหญ่ระดับประเทศได้ด้วยการอ่านหนังสือเพียงเล่มเดียว’
แต่นอกจากงานที่พูดถึงสังคมการปกครองของไต้หวันในท้องตลาดจะมีไม่มากแล้ว เซลส์สมองของเราก็ไม่ได้แอดวานซ์พอจะไปตามอ่านงานวิเคราะห์วิชาการจนเข้าใจไหวเสียด้วย
“TAIWAN IS NOT CHINESE!”
พาดเป็นตัวพิมพ์ใหญ่อยู่กลางปกหนังสือสีเขียวขาวตะโกนเรียกเราด้วยประโยคง่าย ๆ แต่ชัดเจน ขนาดของมันกระทัดรัดเมื่อเทียบเล่มอื่นที่วางอยู่ใกล้กันกล่อมให้เราคิดเข้าข้างตัวเองว่าเล่มแค่นี้น่าจะอ่านจบน่า เอาเล่มนี้แหละ
...หลังจากฝืนความง่วงหลับไปหลายรอบ เราก็อ่านจบจนได้ เพื่อที่จะพบว่าเราไม่สามารถทำความเข้าใจกับเรื่องมหากาพย์นี้ได้ด้วยหนังสือเล่มเดียวจริง ๆ นั่นแหละ ถึงแม้ว่าจะกูเกิ้ลไปอ่านไปแล้วก็ยังพบว่าเราสัมผัสการก่อร่างสร้างไต้หวันได้ผิวเผินผ่านการสรุปอย่างรวบรัด
“ในฐานะบรรณาธิการแปล ผมมองว่าหนังสือเล่มนี้มิได้เป็นคำตอบตายตัวที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียวในประเด็นความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบ (Cross-Strait relations – ระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับไต้หวัน) ...ผมกลับมองว่าหนังสือเล่มนี้จะมอบข้อเท็จจริง มุมมอง และการตีความที่ทำให้ผู้อ่านก้าวไปสู่ชุดความจริงอื่น ๆ ในประเด็นนี้ แม้อาจขัดหรือพ้องกับข้อเท็จจริงในหนังสือเล่มนี้ก็ตาม”
ดูแปลกอยู่สักหน่อยที่เราโควตข้อความจากคุณอนวัช อรรถจินดาที่เขียนไว้ในบทบรรณาธิการมาใส่ในบทความ แต่เพราะทัศนคตินี้ เลยทำให้เราเลือกหนังสือชื่อยาวอย่าง “ไต้หวันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของจีน: ประวัติศาสตร์ชาติไต้หวัน” กลับมาอ่าน (ถ้ามีปัญญาจะอ่านไหวสักเล่ม อย่างน้อยเลือกหนังสือที่มีทีท่าเปิดใจก็น่าจะไม่เลว)
ต้นฉบับถูกเขียนขึ้นโดยนักวิจัยและศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์สามท่าน แสดงแง่มุมของไต้หวันที่เชื่อในอัตลักษณ์ปัจจุบันของตนเองที่แตกต่างจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเกินกว่าจะอยู่ร่วมกันได้
แม้แต่เราที่ไม่ได้เชี่ยวชาญมากมาย ก็บอกได้ว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เขียนด้วยการยืนอยู่ตรงกลาง จุดมุ่งหมายแบบจีนเดียวที่ถูกโต้แย้งนั้นที่จริงแล้วจีนมองอย่างไรก็ยังต้องไปศึกษาเพิ่มอีกมาก
แต่ถ้าเราไม่สามารถทำความเข้าใจเรื่องใหญ่ระดับประเทศได้ด้วยการอ่านหนังสือเพียงเล่มเดียวฉันใด
เราก็ไม่ควรปล่อยให้การตัดสินใจเป็นเรื่องของคนเพียงกลุ่มเดียวเช่นกัน
เนื่องจากเป็นงานแปลที่ตีพิมพ์ออกมาในจำนวนไม่มาก สามารถอ่านคำโปรยและสั่งซื้อหนังสือ คลิก>>“TAIWAN IS NOT CHINESE! A History of Taiwan Nationality – ไต้หวันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของจีน: ประวัติศาสตร์ชาติใต้หวัน” เขียนโดย Hsueh Hua-yuan Tai Pao-tsun Chow Meili แปลโดย โทนี ชู เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล อัครวัฒน์ ศิริพัธนโชค โดยสำนักพิมพ์สำนักศิษย์สามย่าน
ป.ล. ขอขอบพระคุณ อาจารย์ วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ ผู้เป็นแรงบันดาลใจแรกให้เราอยากรู้เรื่องราวความเป็นจีนมา ณ ที่นี้
เรื่อง : พัดชา เอนกอายุวัฒน์ // ภาพประกอบ : ณภัค ภูมิชีวิน