วันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปีตรงกับเทศกาล “วันฮาโลวีน” (Halloween Day) ที่ใครหลาย ๆ คนต่างเฝ้าคอยกับคืนวันปาร์ตี้ ที่จะได้แต่งชุดแฟนตาซีสุดฮิตในธีมชุดผีฟักทอง ปีศาจ แม่มด รวมถึงผีในตัวละครต่าง ๆ วันนี้ ALTV จึงอยากจะชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับเรื่องราวลับ ๆ ของชุดแฟนตาซีสุดฮิตในคืนฮาโลวีนไปพร้อมกัน
ต้อนรับเข้าสู่เทศกาลฮาโลวีน หรือประเพณีปล่อยผีที่ได้รับความนิยมมาจากประเทศทางตะวันตก กับความเชื่อที่ว่า เป็นคืนที่คนตายและคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงกัน วิญญาณเร่ร่อนพยายามเข้าสิงร่างคนให้กลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง ทำให้เทศกาลฮาโลวีนถูกผสมผสานชีวิตหลังความตายของแต่ละประเทศ เกิดเป็นกิจกรรมเพื่อความบันเทิงที่ทุกคนต่างเฝ้ารอคอย โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่จะได้เล่น Trick or treat พร้อมออกไปล่าตามหาขนม สนุกสนานกับการประดับประดาบ้านเรือนด้วยแสงสี และเจ้าฟักทองสีส้ม รวมทั้งการแต่งตัวเป็นภูตผีปีศาจ หรือแต่งตามตัวละครที่สุดของความสยองขวัญ
ที่ผ่านมาหลายคนมักเลือกแต่งชุดเป็นผีตามกระแสจากหนังภาพยนตร์ ตามความชอบ หรือตามกลุ่มเพื่อน ๆ แต่ไม่เคยรู้ถึงประวัติของผีเหล่านั้นเลยว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร มาเริ่มกันที่ตัวแรกซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยในเทศกาลฮาโลวีน แต่แทบไม่เคยรู้เลยว่าทำไมต้องแต่งเป็นผีตะเกียงฟักทอง ?
เรียกได้ว่ามองไปทางไหนก็มักจะเห็น ตะเกียงฟักทอง หรือ Jack O’ Lantern ที่มีหน้าตาชวนขนหัวลุกในเทศกาลฮาโลวีน จากตำนานโบราณของไอร์แลนด์ได้บอกว่า ในสมัยก่อนมีซาตานที่คอยมาขอพืชผลจากชาวบ้าน แต่มีเพียง แจ็ค ชายจอมเจ้าเล่ห์ที่ไม่เคยให้พืชผลกับซาตานเลย หนำซ้ำยังหลอกล่อจนซาตานติดกับดักจนหนีไปไหนไม่ได้ และบังคับให้ซาตานสัญญาว่า “เมื่อแจ็คตายไป ห้ามนำวิญญาณของเขาลงนรกเด็ดขาด”
เมื่อถึงเวลานั้น แจ็คได้ถูกปลดปล่อยให้เป็นวิญญาณเร่ร่อน พร้อมให้แสงไฟนำทางที่ถูกครอบด้วย “หัวผักกาด” นั่นเอง ต่อมาชาวอเมริกันได้คิดค้นและเปลี่ยนแปลงจากหัวผักกาดมาเป็นหัวฟักทองสีส้ม เพราะว่าหาง่าย ผลใหญ่กว่า เหมาะกับการแกะสลัก แถมยังมีสีสันสวยงามกว่าหัวผักกาดอื่น ๆ นั่นเอง
💡ทริกการแต่งตัวให้ตรีม “ผีฟักทอง” : สวมเสื้อคลุมด้วยสีส้ม ตกแต่งด้วยหน้าผีฟักทอง , สวมหมวกผีฟักทองทรงกรวยตั้ง , ทาหน้าขาว หรือแต่งหน้าผีด้วยสีแดง , ตะเกียงฟักทองแกะสลัก
เป็นอีกหนึ่งตัวละครในตำนานที่ถูกเล่าขานมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแดร็กคูลาในจินตนาการของคนส่วนมากอาจเป็นเพียงผู้ชายหน้าขาว มีเคี้ยวแหลมคม ใส่เสื้อคลุมสียาวดำ แต่ความจริงแล้วแดร็กคูลามีตัวตนอยู่จริงในสมัยยุคกลาง ซึ่งต้นกำเนิดจากประเทศโรมาเนีย มีพระนามว่า “เจ้าชายวลาดที่ 3” หรือ วลาด แดร็กคิวลา(Vlad Tepes Dracula)
และได้รับฉายาว่าเป็น “จอมเสียบแห่งโรมาเนีย” เพราะเมื่อเกิดสงคราม เขาได้ซุ่มโจมตีฝ่ายตรงข้ามในขณะผ่านช่องแคบ กองทัพทหารม้าจึงถูกจับ และนำไม้แหลมคมมาเสียบเป็นอย่างโหดเหี้ยมในที่สุด บางครั้งก็นำไปปักที่บริเวณรอบ ๆ เพื่อข่มขู่เหล่าศัตรูด้วยเสียงของเชลยศึกที่แสนจะทรมาน และตายไปอย่างช้า ๆ ไม่เพียงเท่านั้น วลาดที่ 3 ยังคงนำถังไปรองเลือดเพื่อนำมาดื่มสด ๆ อีกด้วย หลังจากนั้นเมื่อนักเขียนแนวนวนิยายชาวไอร์แลนด์ "บราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker)” ได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนนิยาย “แดร็กคูลา” ในปี ค.ศ. 1897 จนโด่งดังและเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกจนถึงยุคปัจจุบัน
💡ทริกการแต่งตัวเป็น “แดร็กคูลา” : ใส่เสื้อคลุมสีดำแกมแดง คอปกเสื้อต้องตั้ง, สวมหมวกสีดำ, สวมใส่เคี้ยวปลอม, แต่งหน้าให้มีรอยเลือดที่ปาก, ทาหน้าและตัวให้ขาวซีด
แน่นอนว่าในคืนฮาโลวีน หลายคนต่างเฝ้ารอคอยที่อยากจะได้เห็นแม่มดตัวเป็น ๆ เพราะมีความเชื่อกันว่า เมื่อเราทำพิธีโดยการใส่เสื้อผ้ากลับด้าน และเดินถอยหลัง เมื่อเวลาเที่ยงคืนตรง แม่มดตัวจริงเสียงจริงจะมาปรากฏตัวให้เห็น แต่นั่นเป็นเพียงความเชื่อในเทศกาลฮาโลวีนเท่านั้น ความจริงแล้วแม่มดมีมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล เมื่อ 1,500 ปีก่อน เคยมีหลักฐานปรากฏอยู่บนผนังถ้ำยุคหินที่เล่าเรื่องราวถึงเวทมนตร์คาถาที่มีทั้งพลังด้านดี และด้านไม่ดี ทำให้ความเชื่อนี้ได้ถูกแพร่กระจายไป ในเวลาต่อมา “นางธีออรีส์” ได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด จนต้องถูกดำเนินคดีให้เผาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่
ทำให้ในช่วงยุคกลาง ฝ่ายศาสนาได้มองว่าความเชื่อเรื่องแม่มดเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง จึงต่อต้านเหล่าแม่มด และการใช้เวทมนตร์ รวมถึงกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มคนนอกรีต นำไปสู่การจับกุมแม่มดหลายพันคน โดยบางคนเชื่อว่าตนเองมีเวทมนตร์พิเศษ แต่บางคนก็บอกว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งในยุคนั้นมีวิธีจับสังเกตว่าเป็นแม่มดหรือไม่ ให้สงสัยจาก ผู้หญิงชราที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียว เลี้ยงสัตว์ในบ้าน เป็นคนที่รู้จักสมุนไพรรักษาโรค และให้คำทำนายต่าง ๆ ได้ แต่เมื่อเข้าสู่ยุคที่มีความก้าวหน้าเรื่องวิทยาศาสตร์ ทำให้การต่อต้านแม่มดได้คลี่คลายลง จากบันทึกในประวัติศาสตร์กล่าวว่า
💡ทริกการแต่งตัวเป็น “แม่มด พ่อมด” : สวมเสื้อผ้าเดรสสีดำทั้งตัว , หมวกทรงกรวยตั้งสีดำผสมสีม่วง , ไม้กวาด , ถุงมือสีดำ
สัญลักษณ์แห่งความสยองขวัญในเทศกาลฮาโลวีน ที่แม้จะมีคาแรคเตอร์เป็นตัวตลก แต่งตัวสีสันสดใสอย่างไรก็ตาม แต่ก็มักซ่อนความชั่วร้ายภายใต้รอยยิ้มอยู่เสมอ แถมเป็นตัวละครที่อยู่คู่กับวงการภาพยนตร์มาอย่างยาวนาน โดยส่วนใหญ่ที่เห็นมักจะเป็นเรื่องราวที่น่ากลัว วายร้าย ปีศาจ หรือฆาตกรโรคจิตนั่นเอง และอะไรที่ทำให้หลายคนถึงกลัวกับตัวตลกเหล่านี้ หากย้อนกลับไปในยุคอียิต์โบราณ ได้เกิดตัวตลกตัวแรกสุดที่ชื่อว่า “ปิ๊กมี่” ที่คอยให้ความบันเทิงกับฟาโรห์ในสมัยนั้น ต่อมาได้มี “โจเซฟ กริมัลดี้” ถือว่าเป็นตัวตลกยุคใหม่ที่โด่งดัง โดยเขาเริ่มทาหน้าด้วยสีขาว สีแดง และย้อมผมด้วยสีฟ้า หรือสีเขียว บวกกับความสามารถด้านการแสดง ทำให้เขาได้รับเสียงหัวเราะ และคำชื่นชมมากมาย
จนกระทั่งในปี ค.ศ.1978 จุดเริ่มต้นของความน่ากลัวได้มาถึงในประเทศสหรัฐอเมริกา “John Wayne Gacy” นักแสดงตลกโดยใช้ชื่อในวงการว่า “Pogo the Clown” และได้ถูกดำเนินคดีในข้อหาล่วงละเมิด และฆาตกรรมเหยื่อถึง 33 ราย ทำให้เหตุการณ์นี้ปลุกกระแสความน่ากลัวของตัวตลกไปทั่วโลก และแทบไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังหน้ากากสีขาวของตัวตลก จะกลายเป็นปีศาจร้ายอีกครั้งหรือไม่
💡ทริกการแต่งตัวเป็น “โจ๊กเกอร์ หรือ ผีตัวตลก” : สวมเสื้อผ้าสีสันสดใส, ย้อมผมสีเขียว หรือสีฟ้า, ขอบตาดำ, เพ้นท์ Tattoo ตามใบหน้า หรือร่างกาย, พอกหน้าขาว แต่งหน้าและปากด้วยสีแดง
หากพูดถึง “ซอมบี้” เรียกได้ว่าเป็นปีศาจยอดฮิตที่ใคร ๆ ก็รู้จักทั่วโลก โด่งดังในวงการเกม อย่าง Resident Evil หรือนิยายชื่อดังอย่าง The Reaper Are the Angles by Alden Bell รวมถึงวงการภาพยนตร์ที่สร้างหนังเกี่ยวกับซอมบี้ไว้มากมาย โดยเรื่องแรกของโลกมีชื่อว่า “White zombie” แต่เรื่องราวเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าในประวัติศาสตร์ไม่มีอยู่จริง
ต้นกำเนิดซอมบี้มาจากลัทธิวูดู (Voodoo) โดยมีการผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมของชาวแอฟริกันตะวันตกเข้ากับความเชื่อแบบคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาธอลิก ซึ่งเป็นการรับใช้วิญญาณของเทพเจ้า ที่ชื่อว่า “นักบุญไอวา” ชาวเฮติจึงมีพิธีกรรมบูชาในโบสถ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการเชิญวิญญาณของนักบุญไอวาให้เข้ามาสิงร่างคน พร้อมบอกแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับชาวเฮติที่กำลังต่อสู้กับการเรียกร้องอิสรภาพจากการปกครองของฝรั่งเศส ในเวลาต่อมาคนที่ตายไปแล้วถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้งโดยเวทมนตร์คาถาของหมอผี Bokor ที่รู้จักกันในนาม Zombie ตามที่ใครหลายหลายคนคงคุ้นหูกับความเชื่อที่ว่า “ศพลุกขึ้นมาเดินได้” ทำให้วิญญาณที่ถูกควบคุมจะช่วยเสริมพลังให้หมอผีมีอำนาจที่แข็งแกร่งขึ้น แถมยังช่วยเหลือชาวเฮติให้พ้นจากความทุกข์โดยต้องแลกเปลี่ยนกับเงิน และทรัพย์สินบางอย่าง ศาสนาและความเชื่อของชาวเฮติจึงถูกมองว่าเป็นพวก “มนุษย์กินคน” แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันคำว่า “ซอมบี้” ยังคงเป็นกระจกสะท้อนชีวิตที่แสนยากลำบากที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นซอมบี้ และเป็นสัญลักษณ์ของความสูญเสียทั้งจิตวิญญาณ และความเป็นอิสระของชาวเฮติตลอดมา
ส่วนความเชื่อที่ว่า ศพฟื้นคืนชีพ ลุกออกมาเดินได้ ในท่าทางที่แปลก ๆ เรี่ยวแรงอิดโรยนั้น ในทางวิทยาศาสตร์ได้บอกว่า กลุ่มคนเหล่านั้นไม่ใช่ซอมบี้ที่เกิดจากไสยศาสตร์มนต์ดำอะไร แต่เกิดจากการที่หมอผีปรุง “ยาซอมบี้” ให้กิน โดยมีส่วนผสมต่าง ๆ เช่น เปลือกหอย ก้างปลา กระดูกสัตว์ หรือพิษของปลาปักเป้า ทำให้ตัวเองนั้นหมดสติ ญาติ ๆ เข้าใจว่าเสียชีวิตแล้ว จึงนำร่างไปฝัง แต่เมื่อยาเริ่มออกฤทธิ์ทำให้คนฟื้นขึ้นมาจากหลุม แต่อาการอาจไม่กลับมาถึง 100 % เพราะฤทธิ์ยาที่ทำให้หลอน และกดประสาทอยู่ เมื่อเจอหมอผีจึงไม่แปลกที่จะฟังตามคำสั่ง ดังนั้นจึงคิดว่าตัวเองเป็นซอมบี้ เช่นเดียวกับเรื่องราวของ Clairvius Narcisse ที่เสียชีวิตไปในปี ค.ศ.1962
แต่แล้วอีก 18 ปีต่อมา เขาออกจากหลุมศพ และเดินไปรอบ ๆ หมู่บ้าน พร้อมบอกว่าตัวเองได้กลายเป็นซอมบี้ที่ไร่อ้อยกับเพื่อนอีกหลายคน เมื่อความทรงจำกลับมา จึงเดินกลับมาที่บ้าน ทำให้เหตุการณ์ครั้งนั้นจึงถูกไขข้อสงสัยตลอดมา
💡ทริกการแต่งตัวเป็น “ซอมบี้” : สวมใส่เสื้อผ้าขาด ๆ ตกแต่งรอยเลือดด้วยสีแดง, แต่งหน้าขาวซีด, ตกแต่งตา และปากด้วยสีดำ, ตกแต่งขอบปากให้มีเลือดด้วยสีแดง, เดินช้า ๆ ด้วยท่าทางแปลก ๆ, เพิ่มความน่ากลัวด้วยคอนแทคเลนส์คอสเพลย์
เริ่มเข้าใกล้เทศกาลฮาโลวีนแบบนี้ อย่ารอช้า !! หากใครที่ยังไม่รู้ว่าจะ Cover เป็นผีอะไรดี วันนี้ ALTV รวมไอเดียแต่งตัวเป็นผีสุดฮิต แบบไม่ตกเทรนมาฝาก
⭐️เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
ปิดท้ายเกร็ดความรู้ของคำทับศัพท์ที่หลายคนคุ้นหู แต่ยังไม่รู้ว่าเขียนอย่างไรถึงจะถูกต้องที่สุด
อ้างอิงจาก : Point of View , The Matter, Kindconnext