การบอกออกมาตรง ๆ ว่า “รักนะ”, “เป็นห่วงนะ” หรือ “วันนี้คุณน่ารักจัง” คือ ถ้อยคำที่สื่อถึงความรัก ความชื่นชม และความเคารพต่อคนที่คุณรัก ที่ไม่ว่าใครก็ต้องการได้ยินแบบนี้กันทั้งนั้น เพราะ “คำพูดดี ๆ ” เปรียบเหมือน “เวทมนตร์” ที่ไม่เพียงช่วย “เติมเต็ม” ความรักที่โรยรา ยังช่วยละลายพฤติกรรมที่แสนจะตรึงเครียดให้กลับมามีรอยยิ้มได้อีกครั้ง
ในแง่ของความสัมพันธ์แบบคู่รัก “ผู้หญิง” ค่อนข้างต้องการภาษารักรูปแบบนี้มากกว่าผู้ชายเสมอ Barbara De Angelis ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยสัมพันธ์ กล่าวว่า “ผู้หญิงนั้นให้ความสำคัญกับความรักเหนือสิ่งอื่นใด ดังนั้นคำพูดใด ๆ ของฝ่ายชายที่สื่อถึงความรักที่มีต่อฝ่ายหญิงจะส่งผลดีตามมาเสมอ”
เช่น คู่รักที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่อาจคลุมเครือ คำพูดจากฝ่ายชายถือเป็น “คำยืนยัน” เพื่อทำให้ฝ่ายหญิงมั่นใจว่า “ฉันเป็นตัวจริง”
การได้ยินคำพูดเพราะ ๆ หวาน ๆ สามารถช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกมีค่า เป็นที่น่าพอใจ และมีความสุขมากขึ้นในความสัมพันธ์ เพราะมันแสดงว่าอีกฝ่ายกำลังชื่นชมและภูมิใจในตัวคุณมากแค่ไหน เมื่อคุณรู้สึกดีและพึงพอใจในตัวเอง คุณก็พร้อมที่จะถนอมทุกความสัมพันธ์ให้เป็นไปอย่างราบรื่นด้วยเช่นกัน เช่น คนเป็น “แม่” ได้รับคำชมว่า “กับข้าวมื้อนี้อร่อยจัง!” เมื่อได้ฟังก็เกิดความภาคภูมิใจว่ายังเป็น “คนสำคัญ” ทำให้แม่อารมณ์ดีและอยากทำอาหารอร่อย ๆ ให้ทุกคนได้ทาน
หากภาษารักของคุณคือคำพูดแทนความในใจ คุณสามารถเอ่ยคำชมและพูดให้กำลังใจได้โดยไม่จำเป็นต้องพูดต่อหน้าเสมอไป แค่เพียงเขียนโน๊ตข้อความสั้น ๆ, ส่งไลน์หากัน หรือบอกทางโทรศัพท์ ก็ถือว่ามีคุณค่าพอกัน
ตัวอย่าง คำพูดที่สื่อว่า “รัก”
การบอกรักที่ว่าด้วย “การปรนนิบัติ” หรือ “กระตือรือร้น” ที่จะทำบางอย่างเพื่อคนที่รัก โดยการแสดงออกจะเน้นไปที่ “การช่วยเหลือ” เพื่อให้เกิดความสะดวกสบาย หรือ “แบ่งเบา” ภาระความรับผิดชอบด้วยความเต็มใจ เช่น
บางครั้ง “การกระทำ” ก็สำคัญพอ ๆ กับคำพูด หากคนใดคนหนึ่งในครอบครัวมัก “ให้บริการและช่วยเหลือโดยไม่ต้องขอร้อง” แสดงว่าคนนั้นกำลังบอกรักคุณอยู่ ซึ่งคนที่ได้รับก็จะรู้สึกถึงการดูแล ความปลอดภัย และยินดีที่จะให้ความรักตอบแทน คล้ายกับ “การปลูกต้นไม้” หากหมั่นดูแลเอาใจใส่ รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย พาออกแดดในที่ที่เหมาะสม เมื่อนั้น “ต้นรัก” ก็จะแข็งแรงและเจริญเติบโต
สิ่งสำคัญของการแสดงความรักด้วย “การลงมือทำ” คือผู้ให้ต้อง “ไม่ฝืนใจ” และผู้รับต้อง “ไม่คาดหวัง” เพราะมันคือพื้นฐานของความรักที่คนในครอบครัวควรมีให้กัน ซึ่งหาก “รู้ใจ” กันมากพอ “ความเต็มใจ” ที่อยากทำให้ก็จะตามมาเอง
บริการอย่างไรให้ได้ใจคนที่คุณรัก
หากมีใครสักคนชอบเซอร์ไพรส์คุณด้วยของขวัญ แสดงว่าคน ๆ นั้นกำลังบอกรักคุณอยู่ ในทางกลับกัน หากคุณรู้สึกถึงการเป็นที่รักเมื่อได้รับบ้าง ก็แสดงว่าภาษารักนี้เป็นสิ่งที่คุณต้องการเช่นกัน
การให้ของขวัญ เป็นการแสดงความรักและความซาบซึ้งที่คุณมีต่อผู้รับ คุณค่าของ “ของขวัญ” ไม่จำเป็นต้องใหญ่โต หรูหรา ราคาแพง แต่อยากให้มองที่ “เจตนา” ของการให้เป็นหลัก เพราะเพียงดอกไม้ดอกเดียว ก็ถือว่าเป็นของขวัญที่มีคุณค่าทางจิตใจได้ ซึ่งรวมไปถึงความใส่ใจรายะเอียดต่าง ๆ ด้วย เช่น การจดจำวันสำคัญ และรูปแบบการนำเสนอที่น่าประทับใจ เช่น ลูก ๆ บรรจงวาดภาพบนการ์ดหนึ่งใบเนื่องในวันแม่ หรือจะเป็นการชงกาแฟสักแก้วให้คุณพ่อที่ต้องทำงานดึก
สัญญาณของภาษารักด้วยการให้ของขวัญ วิธีอื่น ๆ เช่น
การบอกรักด้วยการให้ของขวัญ ไม่เพียงเกิดขึ้นกับมนุษย์ แต่ยังพบได้บ่อยในพฤติกรรมของ “แมว” เรามักเห็นเจ้าเหมียวคาบเหยื่อกลับมาให้ “ทาส” นั่นเป็นเพราะพวกมันคิดว่าคุณก็ต้องการอาหารเช่นกัน ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ เป็นสัญชาตญาณของการแสดงความรักของสัตว์ที่สื่อถึงการดูแลเอาใจใส่
“เมื่อท่านนั่งอยู่กับสาวสวยน่ารัก ๆ คนหนึ่ง และคุยกันอย่างสนุกสนานในเวลา 1 ชม. ท่านจะคิดว่าเวลาผ่านไปเพียง 1 วินาที … แต่ถ้าท่านนั่งลงบนเตาไฟร้อน ๆ เพียง 1 นาที ท่านจะคิดว่าเป็น 1 ชม.”
-อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์-
“เวลา” มีค่า พอ ๆ กับความสัมพันธ์ ดังนั้น ภาษารักนี้จึงเป็นการร่วมกันทำให้ช่วงเวลานั้นมีความหมาย โดยเน้นไปที่ “คุณภาพของเวลา” ซึ่งไม่ได้วัดกันที่ระยะเวลาเป็นนาที ชั่วโมง หรือเดือนปี ไม่จำเป็นต้องเป็นโอกาสพิเศษหรือสถานที่หรูหรา แต่วัดจากความรู้สึกและเจตนาที่มีต่อกันในช่วงเวลานั้นต่างหาก
เช่น “การเล่นจ๊ะเอ๋” ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการรักษาสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และเด็ก ซึ่งเป็นช่วงเวลาคุณภาพที่มีลูกเป็นศูนย์กลาง สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในครอบครัว ผ่านการสบตา ทำท่าทางและการหยอกล้อให้ตื่นเต้นเร้าใจ หรือแม้แต่การทานอาหารมื้อค่ำร่วมกัน, ชมภาพยนตร์ที่บ้านร่วมกัน หรือการนั่งลงปรับความเข้าใจกัน ล้วนเป็นช่วงเวลาที่มีคุณภาพทั้งสิ้น แม้เพียงเวลาสั้น ๆ 5 นาทีก็ถือว่าเพียงพอต่อการดูแลความสัมพันธ์นั้นแล้ว
ในยุคที่ทุกอย่างเร่งรีบ ความเหนื่อยล้าในบทบาทหน้าที่ บวกกับสื่อบันเทิงบันเทิงมากมายบนหน้าจอ บวกกับ ปัจจัยเหล่านี้ มีส่วนทำให้คนในครอบครัวใช้เวลาร่วมกันน้อยลง เหนือสิ่งอื่นใด คุณต้องสร้างสมดุลของช่วงเวลาคุณภาพใน 3 มิติให้ดีก่อน ได้แก่ การเรียนและการงาน, ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และการอยู่กับตัวเอง หากใช้ Quality time กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากไปหรือน้อยไป ก็อาจมีปัญหาตามมา เช่น ให้เวลากับงานมากไปจนลืมให้เวลาตัวเอง ก็อาจเกิดความเครียดสะสม หรือโฟกัสกับครอบครัวมากเกินไปจนเอามาปนกับเวลางาน เป็นต้น
“การสัมผัสทางร่างกาย” หรือที่เรียกว่า “สกินชิพ” (Skinship) คือการแสดงความรักรูปแบบหนึ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เช่น โอบกอด, หอม, จูบ, ลูบไล้, นวด รวมไปถึงการมีเพศสัมพันธ์ แม้กระทั่งแค่การปลอบใจด้วยการแตะที่ไหลเบา ๆ หรือการตีเบา ๆ เมื่อหยอกล้อ
คำว่า “Skinship” เป็นคำศัพท์ที่เกิดขึ้นใหม่ มาจากคำว่า Skin + Relationship ซึ่งใช้กันอย่างหลายในประเทศญี่ปุ่น เดิมภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Wasei-eigo มักใช้กับความสัมพันธ์ของแม่กับลูก แต่ในปัจจุบัน สามารถใช้ในความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน และคู่รักได้ด้วย
การสัมผัสโดยเฉพาะ “การกอด” จะช่วยให้ฮอร์โมนแห่งความผูกพัน หรือ “ออกซิโตซิน” (Oxytocin) นั้นมีระดับสูงขึ้น ทำให้รู้สึกสบายตัว และรู้สึกปลอดภัย ช่วยกระชับความผูกพันทางอารมณ์ได้ดี อีกทั้งยังทำให้ทั้งคนกอดและคนที่ถูกกอด มีระดับภูมิคุ้มกันร่างกายที่เพิ่มขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและความดัน แถมยังช่วยลด “คอร์ติซอล” (Cortisol) หรือฮอร์โมนแห่งความเครียด ช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นอีกด้วย
ในยามที่อีกฝ่ายทุกข์ใจหรือผิดหวัง การสัมผัสสามารถสร้างความมั่นใจ และสยบความเศร้าของอีกฝ่ายได้ เพราะภาษากายนั้นสื่อถึงการสนับสนุนและความเห็นอกเห็นใจ การศึกษาในประเทศสวีเดน ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Research on Language and Social Interaction พบว่า การโอบกอดและกุมมือเด็กที่กำลังเศร้าใจ ช่วยให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลาย
ในสถานการณ์นี้ ผู้ศึกษายังอธิบายอีกว่า การสัมผัสของผู้ใหญ่เป็นการส่งสัญญาณว่า “ฉันพร้อมที่จะทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย” เมื่อเด็กตอบรับการสัมผัสนั้น ความสนิทสนมหรือการไว้เนื้อเชื่อใจก็จะตามมา
การแสดงความรักด้วยการสัมผัสก็มี “ข้อควรระวัง” โดยดูที่ “เจตนา” และ “กาลเทศะ” เป็นหลัก เพราะหากแตะเนื้อต้องตัวด้วยมีเจตนาไม่ดี ไม่ว่าอีกฝ่ายจะสมยอมหรือไม่ อาจเข้าข่ายคุกคามทางเพศ หรือ Sexual Harassment ได้
ไม่ว่าคุณจะบอกรักกันด้วยวิธีใด สิ่งสำคัญ คือคนในครอบครัวต้องหมั่น “เติมเต็มความรู้สึก” นั้นให้กันอยู่เสมอ หากขาดเอาใจใส่ซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่อง หรือ “ขาดการเชื่อมต่อทางอารมณ์” ก็อาจเป็นการเพิ่ม “ระยะห่าง” ระหว่างคนในครอบครัวมากขึ้นตามไปด้วย
จะทำอย่างไรเมื่อ “ความรักและความหวังดี” ของพ่อแม่ ที่ไม่ได้เข้าถึงตัวตนของลูก มาเรียนรู้ทางออกของทุกปัญหากับคำแนะนำของเหล่ากูรูได้ในรายการ ครูที่ปรึกษา คลิก
ขอบคุณที่มา : กรมสุขภาพจิต, medicalnewstoday.com, masterclass.com